เติมความสดชื่นให้ร่างกาย ด้วยสารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract)

            อย่างที่หลายๆคนทราบกันดีว่า  ผลิตภัณฑ์ Detox ส่วนใหญ่มักจะมี ชาเขียวเป็นส่วนประกอบหลักๆเลย โดยมาพร้อมกับสรรพคุณบรรยายข้างกล่องว่า “ชาเขียวช่วยดีท๊อกซ์ร่างกาย ทำให้เฟรชและสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” แต่อาจจะชวนให้หลายๆคนเชื่อในคุณประโยชน์อันล้ำเลิศนี้เสียสนิทได้ ทั้งที่จริงๆแล้ว สารสกัดจากชาเขียวไม่ได้มีฤทธิ์ในการล้างสารพิษในร่างกายได้โดยตรง แต่สารสกัดที่ว่า มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการล้างสารพิษในร่างกายต่างหาก

            สืบเนื่องจาก สาร Polyphenols ที่พบชาเขียว มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของระบบขับถ่ายของเสียในร่างกาย โดยจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับตับซึ่งเป็นอวัยวะหลักในการล้างสารพิษ นอกจากนี้ สาร Polyphenols ที่ว่ายังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีสูงสุด ซึ่งมีส่วนช่วยลดปัจจัยกระตุ้นความเสื่อมของ สอดคล้องกับ งานวิจัยของ BioMedicine  เมื่อปี 2015 ที่ระบุว่า ชาเขียวสกัดมีคุณสมบัติในการป้องกันโรคร้าย ซึ่งเกี่ยวกับตับได้  โดยสาร Polyphenols  ยังกระตุ้นให้เกิดเอนไซม์ ที่ชื่อว่า Quinone  Reductase และ Glutathione ซึ่งมีฤทธิ์ในการล้างสารพิษของร่างกาย

            ยิ่งไปกว่านั้น การดีท๊อกซ์ร่างกายดังกล่าว ยังทำให้ระบบอวัยวะต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น อาทิ การทำงานของตับที่แข็งแรง  การทำงานของระบบย่อยอาหารที่ทำงานสมบูรณ์กว่าเดิม การทำงานของระบบไหลเวียนเลือดที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น  และเมื่อระบบต่างๆของร่างกายตอบสนองต่ออวัยวะอื่นอย่างเต็มที่แล้ว คุณก็จะรู้สึกสดชื่นและมี Energy ในการทำกิจกรรมต่างๆยิ่งกว่าเก่า นอกจากนี้ สารคาเฟอีน (Caffeine) และธิโอฟิลลีน (Theophylline) ที่พบในชาเขียว ยังมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง โดยช่วยแก้อาการง่วงนอนและทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นได้ในเวลาเดียวกัน

            อย่างไรก็ดี การดื่มชาเขียวในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เนื่องจาก สารเคเฟอีน (Caffeine) และธิโอฟิลลีน (Theophylline) จะมีฤทธิ์กระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวจนนอนไม่หลับได้ ดังนั้นผู้บริโภค ควรดื่มชาเขียวเพียงวันละ 2 แก้วต่อวันเท่านั้น โดยเฉพาะ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ที่ควรควบคุมปริมาณที่ตัวเองดื่มอย่างเคร่งครัด  หรืออาจจะดื่มชาเขียวที่มีส่วนผสมของสมุนไพรตัวอื่นอย่าง ขิงและโสมแทน เพื่อเจือจางสารคาเฟอีน (Caffeine) และธิโอฟิลลีน (Theophylline)ที่จะส่งผลเสียต่อร่างกายได้นั่นเอง