ผู้ป่วยเบาหวาน กับการทานสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ (Bilberry Extract)
โรคเบาหวาน เป็นโรคยอดฮิตของคนไทยที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะวัยสูงอายุ และคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ซึ่งโรคเบาหวานนั้น เมื่อเป็นแล้วผู้ป่วยจะไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการปฏิบัติตามวิธีการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง เพื่อประคองอาการของโรคไม่ให้ทวีความรุนแรง เบาหวานสามารถเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การมีรูปร่างอ้วน มีน้ำหนักเกินมาตราฐาน ไม่ชอบออกกำลังกาย กลุ่มคนที่มีไขมันในเลือดสูง และนอกจากนี้เบาหวานยังสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้อีกด้วย ซึ่งผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจจะมีอาการ อ่อนเพลีย น้ำหนักลดลงอย่างไม่มีสาเหตุ ปัสสาวะบ่อย แผลหายช้า ปวดตามข้อต่อ ผิวหนังแห้ง ฯลฯ
คนที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้นกับร่างกาย และภาวะแทรกซ้อนสำคัญประการหนึ่งของโรคเบาหวานคือความผิดปกติที่เกิดกับดวงตา ไม่ว่าจะเป็นต้อกระจก จอประสาทตาบวม หรือเบาหวานขึ้นจอตา ซึ่งเมื่อรู้ว่าเบาหวานอาจจะส่งผลให้เกิดความผิดปกติกับดวงตา ผู้ป่วยก็ต้องการที่จะหาตัวช่วยในการมาป้องกันโรคที่เกี่ยวกับดวงตาเหล่านี้ ทำให้หลายคนนึกถึง “บิลเบอร์รี่” ผลไม้ที่เป็นสุดยอดในเรื่องการปกป้องรักษาดวงตา แต่ทว่าบิลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีรสหวานเหมือนกับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อื่น ๆ ทำให้ผู้ป่วยหลาย ๆ คนไม่กล้าที่จะกินบิลเบอร์รี่ เพราะกลัวระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น แต่ในปัจจุบันได้มีผลการวิจัยที่บ่งบอกว่าบิลเบอร์รี่สามารถช่วยควบคุมระดับน้ำตาลได้
มีการวิจัยโดยการนำบิลเบอร์รี่มาให้ผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการแทรกซ้อนกับดวงตาได้รับประทาน เพื่อเป็นตัวช่วยในการบำรุงดวงตา และการวิจัยก็ได้แสดงให้เห็นว่านอกจากบิลเบอร์รี่ช่วยทำให้อาการแทรกซ้อนทางดวงตาของผู้ป่วยดีขึ้นแล้ว ผู้ป่วยที่ยังมีค่าของระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลงอีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอยังมีผู้ทดสอบบางคนที่ได้รับประทานบิลเบอร์รี่พร้อม ๆ กับรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงเข้าไป ผลที่ได้คือระดับน้ำตาลของผู้ป่วยก็ยังอยู่ในระดับคงที่ ทำให้สามารถสรุปได้ว่าบิลเบอร์รี่นั้นมีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และยิ่งส่งผลได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อรับทานคู่กับข้าวโอ๊ต
ถึงแม้จะมีผลการวิจัยออกมาบอกถึงสรรพคุณของบิลเบอร์รี่อย่างมากมาย แต่ทางที่ดีที่สุดในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานก็ยังคงเป็นการทำตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด การใช้อาหารเสริมอะไรก็ตามเพื่อเป็นตัวช่วยสำหรับผู้ป่วยก็ควรจะต้องปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนเสมอ
Share this Article
